วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2555

อยากรวยต้องทำอย่างไร

ตอนเด็กๆ เวลาไหว้เจ้าตรุึษจีน หรือไหว้พระ ผมก็ยกมือไหว้ไปโดยไม่อธิฐานขอพร
เพราะไม่รู้ว่าจะขออะไรดี ขอจักรยาน ขอดูหนังไอ้มดแดงทุกว้นได้หรือไม่

คุณย่า คุณยาย สอนเสมอ ขอให้อธิฐานว่า ขอให้เป็นเ้จ้าคน นายคน ร่ำรวยๆ  
พอโตมา เ้พิ่งรู้ว่า คำว่า ร่ำรวยนี่ ไปขอพระ หรือสิ่งศักดิ์สิทธ์ไม่ได้  ต้องใช้วิทยาศาสตร์ เท่านั้น  เรียนไม่จบ หางานทำยาก ทำงานหลายปีก็ยังไม่รวย 
ทำไมจึงจะรวย  คิดไม่ออกสักที 

เคยอ่านหนังสือประวัติคนรวย โอโฮ เก่งมาก ทำได้ไง ที่เขาเขียนนะ โม้สุด
พอทำงานธนาคารจึงได้รู้ว่า แต่ละท่านนะ zigzag กว่าคนปกติเพียบ กฎระเบียบมีไว้ให้แหก ค้าขายตามกฎ รับรอง ไม่รอด คนรวยๆ หลายคน จบไม่สูงนัก แต่ค้าขายเซียนจริงๆ  on the job Training 

สำหรับมนุษย์เงินเดือน ถือว่าโชคดี เพราะทุกสิ้นเดือนก็ีรีบไปตู้ ATM กดเงินสดออกมาใช้ได้   ทำงานมานาน ทำไมไม่รวยละ มีเงินเข้าทุกเดือน หลายคนบ่นก็ของมันแพง เิดินทางไกล กินเก่ง จีบหญิง  ................

จริงๆ แล้วเหตุผลหลักที่ไม่รวยสักที ก็เพราะ ไม่ออมเงิน จริงๆ สักที ไงครับ
เรียนจบตั้งเป้า ต้องหางานดีๆ ทำให้ได้  มีังานทำมีเงินใช้ เดือนชนเดือน
ระหว่างรอเงินเดือนออก ก็จะมีความฝันว่า สิ้นเืดือนก่อนจะซื้อ เสื้อผ้าใหม่ สักชุด
ไป dinner แพงๆ กันหน่อย  กินเหล้ากับเพื่อนๆ  ไป shopping  เห็นไหมครับ น้อยคนที่คิดว่าจะเก็บเงินให้ได้ เท่านี้ แต่ละเดือน 

ยิ่งมีบัตรเครดิต นี่ไปกันใหญ่  อยากได้อะไรซื้อทันที  ผ่อนทีหลัง 3 เดือนไม่ีมีดอก
กระปุกครับ  เหมือนสมัยเด็กๆ ยังใช้ได้ีดี สำหรับคนที่เก็บเงินไม่อยู่ เงินเหลือสิ้นวัน เทใส่กระัปุกให้หมด  ถ้าแค่นี้ทำไม่ได้ก็ จบกัน

อยากรวยต้องทำแบบนี้ครับ เพิ่มรายได้ ลดค่าใช้จ่าย 
พูดง่ายนะ  แต่ลงมือทำซิครับ ยากมาก  ส่วนมากอ้างๆเรื่อยๆ  เหตุผล 108 
สุดท้าย ต้องซื้อ lotto ครับ หวย ไง  ซื้อความฝัน อาจจะรวย  หวยถึงขายดีไงครับ
ขายฝัน รางวัล ที่ 1   (ลงทุนแค่ 200 บาท จะได้รางวัลที่ 1 ได้ไง)

สมัยนี้ถ้าใคร มีบัํญชีธนาคารเพีัยง 1 แห่ง  ผมว่าเชยครับ  ใช้ธนาคารแค่กดเงิน ATM อย่างนี้รับรองไม่รวยถาวร   ลองอ่านหนังสือพิมพ์ ดูอัตราดอกเบี้ยธนาคารอื่นๆบ้างซิครับ จะได้รู้ว่า ดอกเบี้ย ตอนนี้เขาไปถึงไหนกันแล้ว   แล้วใครยังไม่ทราบว่าเงินฝากประจำ จะต้องเสียภาษี 15% ยกมือขึ้น 

ถ้าเขาบอกว่าเสนอดอกเบี้ยประจำ 1.75% ต่อปี  พวกเราจะได้รับดอกเบี้ยจริงคือ
1.48 % เองครับ ฝากเงินสด 100,000 บาท ได้ดอกเบี้ยปีละ  1400 บาท  ตกเดือนละ  116 บาท  หรือวันละ 3.8 บาท พอใช้หรือไม่ครับวันละ 3 บาทกว่าๆๆ

เืมื่อไหร่จะรวยสักที  ผมได้ยินคำนี้บ่อยมาก 
แต่ที่บ่อยกว่านี้คือ  เงินเดือนออกจะไป shopping ที่ไหนราคาถูกบ้าง  แล้วก็หักบัตรเครดิตฟ

รีบเปลี่ยนแปลงตัวเองก่อนซิครับ  ตั้งใจเก็บเงิน ชะลอการ shopping  เงินเหลือแน่ๆ 
ผมลองแล้ว ได้ผล  อย่ารอให้หิว  เพราะหิวแล้ว อะไรก็อยากกินไปหมด แพงไม่แพงไม่สน จะกิน
หากกินน้ำเปล่ามากๆ  จะช่วยได้เยอะ    อยากได้อะไร อย่ารีบซื้อทันที กลับบ้านก่อน คิดๆๆ ว่าจะซื้อไปทำไมกัน คุ้มหรือไม่   มาแข่งกันเก็บเงินดีกว่าครับ  Cheer...................

หมายเหตุ 

ถ้าอยากรวยจริงๆ  ต้องไม่จนครับ  มีเงินพอใช้ทุกเดือน มีเหลือเก็บ 
หากใครอยากรวยจัด  รีบไปลงทุน ขาดทุนมา  กว่าจะออมเงินเก็บได้อีกครั้ง หลายปีครับ
อย่าล้มกันบ่อยนัก เพราะเงินทองนั้นหายากมาก  

10 ข้อ ที่ทำให้หล่อ สวย และหน้าใส


ทุกคน
ต่างก็อยากที่จะดู "หล่อ สวย หน้าใส และอ่อนเยาว์" อยู่ตลอดเวลาใช่ไหมจ๊ะ
ถ้า “ใช่” ก็ต้องทำ 10 ข้อนี้เลย....
เด็กดีดอทคอม :: 10 ข้อ ที่ทำให้หล่อ สวย และหน้าใส
เพียงแค่เราเปิดใจให้กว้าง และมีความสุขกับสิ่งต่างๆ ที่ทำ
แค่นี้ก็ทำให้เราดูหน้าใส และอ่อนเยาว์ขึ้นแล้ว

กินกล้วยดีอย่างไร

กล้วยดีอย่างไร

     กล้วย  ถึงจะเป็นผลไม้ ที่ไม่น่าจะให้พลังงานได้เยอะ แต่เชื่อหรือไม่ว่า กล้วยเป็นแหล่งพลังงานสำรองชั้นดี ในกล้วย 1 ผล สามารถให้พลังงานได้ร่วม 100 แคลอรี่ มีน้ำตาลธรรมชาติอยู่ 3 ชนิด ทั้ง ซูโครส ฟรุคโทส และกลูโครส รวมไปถึงเส้นใยและกากอาหาร ดังนั้น ถ้าหากหิว ก็สามารถทานกล้วยรองท้องได้ (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของกล้วยที่กิน เช่น กล้วยไข่ อาจทานได้มากกว่า 3 ผล ต่อ 1 ครั้ง กล้วยน้ำว้า 1-2 ผล กล้วยหอม 1-1 ครึ่งผล) และในกล้วยเอง ยังอุดมด้วย วิตามินบี 6 ที่ช่วยกระตุ้นระบบภูมิต้านทาน แถมแร่ธาตุอย่างแมกนีเซียมและโพแทสเซียม ที่ช่วยป้องกันโรคความดันอีกด้วย
สุขภาพดีได้ง่าย ๆ กับกล้วยน้ำว้าอย่างน้อย วันละ 1-2 ผล
    ในบรรดากล้วยทั้งหมด กล้วยน้ำว้าให้วิตามินเอสูงสุด นอกจากนั้นก็ยังมีวิตามินบี 1 บี 2 ซี และไนอะซิน (บี 6) ในปริมาณที่เท่า ๆ กัน แต่ที่ทำให้กล้วยน้ำว้า มีคุณค่าสารอาหารที่พิเศษกว่ากล้วยชนิดอื่น นั่นก็คือ โปรตีนที่อยู่ในกล้วยน้ำว้า มีกรดอะมิโน อาร์จินิน และฮีสติดิน ซึ่งมีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของทารก ถึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมตอนเด็ก ๆ ผู้ใหญ่ถึงให้เรากินกล้วยบด เพราะอุดมด้วยสารอาหาร และวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกายเรานั่นเอง
    นอกจากนี้กล้วยน้ำว้า ยังมีสรรพคุณในทางยาอีกด้วย มาดูว่ามีอะไรบ้าง
1.ช่วยบรรเทาอาหารเจ็บคอ หรืออาการเจ็บหน้าอกจากการไอแห้ง ๆ ทานวันละ 5-6 ผล จะช่วยให้อาการระคายเคืองลดน้อยลงไปมาก
2.ถ้าใครมีกลิ่นปากรุนแรงในตอนเช้า กล้วยน้ำว้าก็มีสรรพคุณทางยาช่วยลดกลิ่นปากได้ดี วิธีการคือ ทานกล้วยน้ำว้าหลังตื่นนอนทันที แล้วค่อยแปรงฟัน จะช่วยลดกลิ่นปากได้        นอกจากนี้ยังเป็นยาระบายช่วยแก้ท้องผูก หรือระบบขับถ่ายไม่ปกติ เนื่องมาจากสารเพคติน จะเป็นตัวเพิ่มใยอาหารให้กับลำไส้ เมื่อลำไส้อีกกากอาหารมาก จะไปดันผนังลำไส้ ทำให้ผนังลำไส้เกิดการบีบตัว จึงทำให้รู้สึกอย่างถ่ายนั่นเอง ทั้งนี้วิธีการแก้อาการท้องผูกอีกวิธีหนึ่ง คือให้ทานกล้วยน้ำว้าสุข 1-2 ผล ก่อนนอน แล้วดื่มน้ำตามมาก ๆ จะช่วยให้ถ่ายท้องได้ดีในวันรุ่งขึ้น 
3.กล้วยน้ำว้า แก้ท้องผูกได้ ก็สามารถแก้ท้องเดินหรือท้องเสียได้ ทั้งนี้เพราะในกล้วยน้ำว้ามีสารแทนนินอยู่มาก จึงสามารถช่วยรักษาอาการท้องเสียแบบไม่รุนแรงได้ ใช้ใช้กล้วยน้ำว้าดิบหรือห่ามมาปอกเปลือก หั่นเป็นชิ้นบางๆ ใส่น้ำพอท่วมยา ต้มนานครึ่งชั่วโมง ดื่มครั้งละ 1/2 - 1 ถ้วยแก้ว ให้ดื่มทุกครั้งที่ถ่าย หรือทุกๆ 1-2 ชั่วโมง ใน 4-5 ชั่วโมงแรก หลังจากนั้นให้ดื่มทุก ๆ 3-4 ชั่วโมง หรือวันละ 3-4 ครั้ง
4.กล้วยน้ำว้ายังสามารถรักษาโรคกระเพาะได้ โดยการนำกล้วยนำว้าดิบมาปอกเปลือก แล้วนำเนื้อมาฝานเป็นแผ่นบาง ๆ แตกแดด 2 วันให้แห้งกรอบ บดเป็นผงให้ละเอียด ใช้ทานครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะ ละลายน้ำข้าว หรือน้ำผึ้ง ทานก่อนอาหาร ครึ่งชั่วโมง หรือก่อนนอนทุกวัน ทั้งนี้ในกล้วยดิบ จะกระตุ้นเซลล์ในเยื่อบุกระเพาะเพื่อหลั่งสารพวก “มิวซิน” ออกมาเคลือบกระเพาะ ซึ่งมีฤทธิ์ในการรักษาแผลในกระเพาะ 
5.เปลือกของกล้วยน้ำว้า ช่วยบรรเทาอาการคันอันเนื่องมาจาก แมลงกัดต่อย และผื่นแดงจากอาการคัน นอกจากนี้เนื้อและเปลือกกล้วย มีฤทธิ์ในการต้านเชื้อราและเชื้อแบคทีเรีย ที่ทำให้เกิดหนองได้
    นอกจากนี้ กล้วยน้ำว้า ยังมีสรรพคุณทานเป็นอายุวัฒนะอีกด้วย ซึ่งได้รับความนิยมมาตั้งแต่โบราณ วิธีการคือนำกล้วยสุกปอกเปลือกออก แล้วนำไปแช่กับน้ำผึ้ง ซัก 1 สัปดาห์ แล้วจึงนำมาทานวันละ 1-2 ผล จะช่วยบำรุงสุขภาพให้แข็งแรงได้
     เห็นทีอย่างนี้ คงต้องมีผลไม้ประจำบ้านอีกหนึ่งอย่างที่ขาดไม่ได้ อย่

    อย่าลืมใส่ใจดูแลรักษาสุขภาพกันหล่ะ 

างกล้วยน้ำว้า ซะแล้ว กินอย่างน้อยวันละผล สองผล น่าจะทำให้ไปหาหมอได้น้อยลง

เคล็ดลับลดพลัง(ตด)ลม


ทุกคนล้วนเคยตด การตดเมื่ออยู่คนเดียวดูจะเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ แต่เมื่อตดต่อหน้าธารกำนัลจะกลายเป็นเรื่องที่ผิดกาลเทศะ คนส่วนใหญ่จึงมักอายที่จะตดอย่างเปิดเผย และไม่ต้องการให้เสียงหรือกลิ่นล่วงรู้ไปถึงบุคคลอื่น มีนักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจังและให้คำแนะนำเราได้ว่าทำอย่างไรจึงจะตดให้น้อยและไม่เหม็น
ตด หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ผายลม เกิดจากมีอากาศหรือแก๊สในกระเพาะมากเกินไป คนทั่วไปตดประมาณวันละ 10-14 ครั้ง  เรามักคิดว่าผู้ชายตดบ่อยกว่าผู้หญิง แต่ที่จริงแล้วทั้งชายและหญิงตดบ่อยพอๆกัน เพียงแต่ตดของผู้หญิงมีปริมาตรน้อยกว่าผู้ชาย เพราะร่างการเล็กกว่าและไม่ว่าจะหญิงหรือชายก็ตดเหม็นได้พอๆกัน
จากการศึกษาพบว่า 99% ของตดนั้นไม่มีกลิ่น กลิ่นเหม็นนั้นมาจากอีก 1 % ที่เหลือเท่านั้น กลิ่นตดกับเสียงตดก็ไม่สัมพันธ์กัน นั่นหมายถึง ตดที่ดังสนั่นไม่ได้มีกลิ่นเหม็นเสมอไป หรือคุณอาจตดเบาๆไม่มีใครได้ยิน แต่อาจส่งกลิ่นเหม็นอย่างร้ายกาจก็เป็นได้
ข้อแนะนำเพื่อให้ตดแต่น้อยและไม่มีกลิ่น
-อาหารบางประเภทไม่ควรกินมากเกินไป เช่น ไข่ เนื้อ และผักตระกูลกะหล่ำ เช่น กะหล่ำปลี บร็อคโคลี่ เนื่องจากอาหารเหล่านี้มีกำมะถันเป็นส่วนประกอบ แบคทีเรียในลำไส้จะย่อยให้เป็นแก๊สที่มีกลิ่นเหม็น
-ถั่วและผักสดบางชนิดมีน้ำตาลที่ร่างกายย่อยไม่ได้ ซึ่งจะถูกส่งผ่านไปหมักหมมอยู่ในลำไส้ใหญ่แบคทีเรียในลำไส้จะย่อยน้ำตาลพวกนี้แทนและทำให้เกิดแก๊สขึ้น
บางข้อมูลแนะนำให้กินถั่วและผักที่ปรุงสุกแล้ว หรือให้นำถั่วไปแช่น้ำ ให้น้ำท่วมถั่วสัก 2 นิ้ว คัดเมล็ดถั่วที่เสียหรือลอยน้ำทิ้งไป แช่ทิ้งไว้ประมาณ 4 ชั่วโมง หรือทิ้งไว้ข้ามคืนเลยก็ได้ ถ้ามีเวลาน้อยหรือรอไม่ไหว ให้นำถั่วไปแช่ในน้ำร้อน 10-15 นาทีขึ้นไป แล้วล้างน้ำออกก่อนนำไปปรุงอาหาร หรืออีกวิธีก็คือนำถั่วไปล้างน้ำ ต้ม 3 นาที แล้วปิดฝาทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง ก่อนนำไปปรุงอาหารจะช่วยลดปัญหาผายลมจากการกินถั่วได้แต่บางข้อมูลก็บอกว่าถึงแม้จะนำถั่วมาต้มให้สุกหรือแช่น้ำอย่างไร ก็ยังคงตดมากและเหม็นเหมือนเดิม ยกเว้นว่าจะทำตามวิธีที่นักวิจัยทดลองทำ นั่นก็คือนำถั่วมาต้มนาน 3 นาที แล้วปล่อยทิ้งไว้ให้เย็นนาน 2 ชั่วโมง จากนั้นเทน้ำทิ้งแล้วนำไปแช่ในน้ำเย็นใหม่อีก 2 ชั่วโมง เทน้ำทิ้งแล้วแช่อีก 2 ชั่วโมง แล้วสะเด็ดน้ำทิ้งเป็นครั้งสุดท้าย น้ำตาลในถั่ว 90% จะถูกกำจัดออกไป คราวนี้ตดจะไม่เหม็นมาก แต่ปริมาตรตดยังคงเท่าเดิม (ถ้าต้องทำถึงขนาดนี้ คงหายอยากหรือไม่ก็ยอมตด)
-บางคนอาจผายลมเมื่อดื่มนมเข้าไป เพราะขาดเอนไซม์บางอย่าง เช่น แลคเตส ซึ่งช่วยย่อยน้ำตาลในนม
-หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มสำเร็จรูปที่มีส่วนผสมของน้ำเชื่อมฟรัคโทส เช่น เครื่องดื่มกระป๋อง น้ำผลไม้กระป๋อง บางคนอาจดูดซึมน้ำตาลชนิดนี้ได้น้อย ทำให้ท้องอืดหรือผายลมมากขึ้น
-หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มเติมแก๊ส เช่น น้ำอัดลม เบียร์ โซดา เพราะเครื่องดื่มเหล่านี้จะไปเพิ่มปริมาณลมหรือแก๊ส ทำให้เรอและผายลมมากขึ้น
-ลดอาหารไขมันสูง เพราะอาหารประเภทไขมันจะใช้เวลาย่อยนานกว่าอาหารประเภทอื่น จึงอาจอยู่ในกระเพาะได้นานถึง 2 ชั่วโมง แบคทีเรียมีเวลาเหลือเฟือในการสร้างแก๊สตด แต่ถ้ากินไขมันน้อยลง ลำไส้จะบีบตัวให้อาหารผ่านไปยังลำไส้ใหญ่ได้เร็วขึ้น แบคทีเรียสร้างแก๊สในลำไส้ได้ลดลง ก็จะช่วยป้องกันอาการท้องอืดและผายลมได้
-อาหารค้างคืนที่นำออกจากตู้เย็นมาอุ่นก็สามารถกระตุ้นให้แบคทีเรียในอาหารผลิตแก๊สได้ การกินอาหารที่อุ่นซ้ำแล้วซ้ำอีก จึงมีส่วนทำให้ตดบ่อย
-อย่ากินอาหารหรือดื่มน้ำเร็วเกินไป เพราะระหว่างนั้นเราจะกลืนลมเข้าไปด้วย การกินช้าๆ เคี้ยวให้ละเอียดจะช่วยให้กลืนอากาศเข้าไปน้อยลง
-การอมลูกอม เคี้ยวหมากฝรั่ง หรือสูบบุหรี่ ก็เช่นเดียวกัน เวลาที่เรากลืนน้ำลายหรือสูบบุหรี่ก็จะกลืนอากาศเข้าไปด้วย
-การพูดมากๆ ก็อาจทำให้กลืนลมเข้าไปมากเช่นกัน
-กินขิง อบเชย หรือเปปเปอร์มินท์ อาจช่วยลดแก๊สในกระเพาะได้
-กินอาหารเครื่องดื่มที่มีจุลินทรีย์ชนิดดี (probiotic) เป็นประจำ เช่น แลคโตบาซิลลัสในโยเกิร์ตหรือนมเปรี้ยว เพื่อให้จุลินทรีย์ชนิดดีไปแย่งอาหารและลดจุลินทรีย์กลุ่มที่ชอบสร้างแก๊ส โดยเลือกโยเกิร์ตหรือนมเปรี้ยวที่มีน้ำตาลและไขมันต่ำ
-กินมื้อเล็กๆ แต่บ่อยขึ้น วันละ 5-6 มื้อ แต่ละมื้อกินไม่ต้องมากหรือแค่เกือบอิ่ม
-ดื่มน้ำให้มากขึ้น โดยดื่มคราวละน้อยๆ แต่ดื่มบ่อยๆ ตลอดวัน
-การเดินหลังอาหารช้าๆ ประมาณ 10-15 นาที มีส่วนช่วยให้ลำไส้บีบตัวให้อาหารผ่านไปยังลำไส้ใหญ่ได้เร็วขึ้น แบคทีเรียมีเวลาสร้างแก๊สในลำไส้น้อยลง จึงช่วยลดการผายลมได้ การออกกำลังกายหรือเคลื่อนไหวให้มากเป็นประจำยังทำให้ลำไส้และระบบย่อยทำงานได้ดีอีกด้วย
ในขณะที่คนส่วนใหญ่ถูกสอนให้กระมิดกระเมี้ยนตด แพทย์ชาวฝรั่งเศสกลับบอกว่าอย่าอั้นมันไว้ “คนเราควรจะผายลมเพื่อกำจัดแก๊สที่เกิดขึ้นในตัวให้หมดในแต่ละวัน เพราะมันเป็นไปตามขบวนการตามธรรมชาติ การกลั้นเอาไว้อาจเป็นอันตรายกับลำไส้ อย่าได้อายในการระบายกลิ่นอายของร่างกายออกไปเพราะจะเป็นการรักษาสุขภาพของตนเองให้อยู่ดี”
 

ที่มา : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ

โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม2


สามัคคีวิยาคม 2 โรงเรียนของฉัน

ประวัติโรงเรียน

          โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม 2 อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย เป็นโรงเรียนที่ก่อตั้งขึ้นลำดับที่ 39 ของจังหวัดเชียงรายของกรมสามัญศึกษา ประกาศตั้งเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2536 ตั้งอยู่ระหว่างเส้นทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1121 กิโลเมตรที่ 4 – 5 เส้นทางสายเชียงราย – ดงมะดะ มีเนื้อที่ 25 ไร่ 3 งาน 96 ตารางวา ตั้งอยู่บ้านเลขที่ 393 หมู่ที่ 1 ถนนเชียงราย – ดงมะดะ ตำบลรอบเวียง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย 57000 





           ที่ดินแปลงนี้เดิมเป็นฌาปนสถานประจำหมู่บ้านหัวฝาย พ่อหลวงจวน ไชยชมภู ผู้ใหญ่บ้านในขณะนั้นมีแนวความคิดที่จะพัฒนาหมู่บ้าน เนื่องด้วยในขณะนั้นหมู่บ้านยังไม่มีความเจริญ เส้นทางคมนาคมยากลำบาก จึงมีความเห็นที่อยากจะให้หน่วยงานทางราชการเข้าไปตั้งสถานที่ราชการในหมู่บ้านเพื่อที่จะทำให้หมู่บ้านเจริญขึ้น จึงขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม ในสมัยที่ท่านผู้อำนวยการ บรรจง พงศ์ศาสตร์(อดีตอธิบดีกรมสามัญศึกษา)เป็นผู้อำนวยการโรงเรียน โดยมอบหมายให้ อาจารย์ณรงค์ จินดาวงศ์ หัวหน้าหมวดเกษตรกรรมศิลป์ ได้ดำเนินการประสานงานกับพ่อหลวงจวน ไชยชมภู และจัดหางบประมาณ โดยคณะครู – อาจารย์และนักเรียนได้จัดกิจกรรมต่างๆ หาเงินซื้อที่ดิน จนครบ 40,000 บาท เมื่อปี พ.ศ. 2519 เพื่อซื้อที่ดินและมีโครงการใช้ที่ดินแปลงนี้เป็นไร่ฝึกเกษตรของโรงเรียน จนกระทั่งปี พ.ศ. 2520 อาจารย์บรรจง พงศ์ศาสตร์ ได้ย้ายไปรับตำแหน่งใหม่เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนยุพราชวิทยาลัยจังหวัดเชียงใหม่และในระยะเวลาใกล้เคียงกันนั้นอาจารย์ณรงค์ จินดาวงศ์ ได้โอนย้ายไปรับราชการในสำนักงานปฏิรูปที่ดิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้บริหารโรงเรียนในยุคต่อมาเห็นว่าการเดินทางไป–กลับของนักเรียนเพื่อปฏิบัติงานที่ไร่ฝึกเกษตรยากลำบาก ดังนั้นจึงได้ระงับโครงการไร่ฝึกเกษตรดังกล่าว ที่ดินแปลงนี้จึงถูกทิ้งรกร้างอีกระยะหนึ่ง
           ต่อมาในปี พ.ศ. 2528 ผู้อำนวยการประสิทธิ์ แสนไชย ได้พัฒนาไร่ฝึกเกษตรอีกครั้ง โดยปลี่ยนแปลงเป็นสวนป่าโรงเรียนจึงได้รับมอบหมายให้หมวดวิชาเกษตรกรรมประสานงานตามโครงการ และให้ครู – อาจารย์และนักเรียนร่วมกันปลูกไม้ยืนต้น ต่อมาในสมัยที่ผู้อำนวยการบุญส่ง ไชยลาม (2532 – 2536) เป็นผู้อำนวยการโรงเรียน มีนโยบายที่จะใช้ที่ดินแปลงนี้เป็นสถานที่ฝึกอบรมของโรงเรียนแต่โครงการดังกล่าวไม่บรรลุผล อาจารย์เฉลิมชัย รัตนประยูร ผู้อำนวยการสามัญศึกษาจังหวัดเชียงราย ได้ตระหนักถึงการขยายตัวทางการศึกษาของจังหวัดเชียงรายในอนาคต ตลอดจนความต้องการที่จะเข้าศึกษาต่อโรงเรียนสามัคคีวิทยาคมในขณะนั้นมีจำนวนมากเกินกว่าที่ทางโรงเรียนจะรับได้ ประกอบกับที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นที่ดินจัดซื้อจากวิสัยทัศน์ของท่านอธิบดีบรรจง พงศ์ศาสตร์ และยังไม่สามารถใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ดังที่คาดหวัง จึงได้ปรึกษากับผู้ใหญ่ในกรมสามัญศึกษาจึงได้รับอนุมัติให้ดำเนินการจัดตั้งโรงเรียนโดยให้ใช้ชื่อว่า “โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม 2” เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2536
             ในปีการศึกษา 2537 โรงเรียนเริ่มเปิดรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีนักเรียนจำนวน 103 คน โดยมีนายสงัด มิตกิตติ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสามัญศึกษาจังหวัดเชียงราย ทำหน้าที่รักษาการในตำแหน่งครูใหญ่ เป็นคนแรก ดำเนินการรับสมัครนักเรียน 

              วันที่ 13 พฤษภาคม 2537 – 30 กันยายน 2544 กรมสามัญศึกษา ได้แต่งตั้ง นางพาณี จินดา-วงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงเรียนสามัคคีวิทยาคม เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนสามัคคีวิทยาคม 2

               วันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2544 – 8 พฤษภาคม พ.ศ.2546 นายทวีศักดิ์ พิพัฒน์ขจรศักดิ์ ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม 2

               วันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ.2546 – 27 ธันวาคม พ.ศ. 2549 นายอุทิศ สิทธิยศสมบัติ ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนสามัคคีวิทยาคม 2

                วันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ.2549 – พ.ศ. 2552 นายพานทอง วังเค็ม ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนสามัคคีวิทยาคม 2
                 วันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ.2552 – 10 พ.ย. 2554 นางสาวศุภวัลย์ คำวัง ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนสามัคคีวิทยาคม 2. 
                 วันที่  11 พ.ย. พ.ศ. 2554   - ปัจจุบัน  นายส่งศักดิ์  เทพดวงแก้ว ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนสามัคคีวิทยาคม 2.









 เอกลักษณ์สถานศึกษา

“ โรงเรียนส่งเสริมคุณธรรม”


อัตลักษณ์ของผู้เรียน

“ นักเรียนเป็นผู้ที่มีจิตอาสา”





 คติธรรมประจำโรงเรียน
พลํ สํง ฆฺส ส สามฺค คี     “สามัคคี คือ พลัง”


ปรัชญาของโรงเรียน

“เน้นคุณธรรม นำปัญญา พัฒนาสังคม” 






เครื่องหมายประจำโรงเรียน




  -  ห่วงกลม 6 ห่วง ประกอบด้วยสี 3 สี หมายถึง

               - สีประจำโรงเรียน คือ น้ำเงิน ขาว แสด เกาะเกลียวกันเป็นลูกโซ่อย่างเหนียวแน่น มั่นคง  เปรียบเสมือนความสามัคคีกลมเกลียวแน่นแฟ้น

               - รอบ ๆ ห่วง 6 ห่วง จะเปล่งประกายออกเป็นรัศมีทองแสด รวมทั้งหมด 39 แฉกหมายถึง   เป็นโรงเรียนมัธยมโรงที่ 39 ของจังหวัดเชียงราย

               - ตัวอักษรภาษาบาลี หมายถึง คติธรรมประจำโรงเรียน

               - ใต้ตัวอักษรบาลี  คือ  ปีพุทธศักราชที่ก่อตั้งโรงเรียน





 สีประจำโรงเรียน

   น้ำเงิน : ขาว : แสด 


ต้นไม้ประจำโรงเรียน

  ต้นอินทนิล


Credit  :  http://www.swk2.ac.th/index.php